ศึกแดงเดือด ถือเป็นหนึ่งในเกมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก. การพบกันระหว่างลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แต่คือการปะทะของศักดิ์ศรี ความภาคภูมิ และประวัติศาสตร์ที่สั่งสมมายาวนาน.
ต้นกำเนิดของ วันแดงเดือด เริ่มขึ้นตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 เมื่อ ลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แข่งขันกันในด้านอุตสาหกรรม การค้า และวัฒนธรรม. เมื่อฟุตบอลกลายเป็นกีฬาแห่งชาติ ความเป็นคู่ปรับของสองเมืองนี้ก็ถูกถ่ายทอดลงสู่สนามหญ้า และจากนั้นความดุเดือดก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกยุคทุกสมัย.
ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดภายใต้ชื่อเดิม Newton Heath และลิเวอร์พูลต่างก็พยายาม ยกระดับทีมให้โดดเด่น. ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองทีมเริ่มตึงเครียดในช่วงปี 1960–1970 เมื่อทั้งสองสโมสรผลัดกันเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประเทศ ลิเวอร์พูลของ บิล แชงคลีย์ และบ็อบ เพสลีย์ ครองความยิ่งใหญ่ในยุคทอง ขณะที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดของ เซอร์ แมตต์ บัสบี้ ก็สร้างชื่อในระดับยุโรป. ตั้งแต่นั้นมา “แดงเดือด” ก็ไม่ใช่แค่เกมฟุตบอลอีกต่อไป แต่คือสงครามแห่งศักดิ์ศรีของสองอาณาจักรลูกหนัง.
ศึกแดงเดือด แต่ละครั้งมักเต็มไปด้วย อารมณ์ที่เดือดพล่าน ทั้งในสนามและบนอัฒจันทร์ แฟนบอลของทั้งสองทีมต่าง เปล่งเสียงร้องเพลงประจำสโมสร. บรรยากาศในสนามแอนฟิลด์และโอลด์แทรฟฟอร์ดในวันที่ทั้งคู่พบกัน มักถูกเปรียบว่าเป็น ศึกแห่งความศรัทธา.
หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ ศึกแดงเดือด มีความพิเศษคือ การเป็นสองทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศเดียวกัน. แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและลิเวอร์พูลผลัดกันครองบัลลังก์ฟุตบอลอังกฤษ ทั้งสองทีมต่างมีช่วงเวลารุ่งเรืองและตกต่ำ แต่ไม่เคยหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก. การพบกันของทั้งคู่จึงมักเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของฤดูกาล และเป็นเกมที่สามารถกำหนดชะตาของแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เสมอ.
ในช่วง ยุคพรีเมียร์ลีก ความดุเดือดยิ่งทวีคูณ ลิเวอร์พูลที่พยายามล้างแค้นความสำเร็จของแมนยู ต้องเจอกับปีศาจแดงที่ครองความยิ่งใหญ่ในลีก ความตึงเครียดระหว่างแฟนบอลสองฝ่าย กลายเป็นตำนาน. ขณะที่ในยุค เยอร์เกน คล็อปป์ และเอริก ลิเวอร์พูลล่าสุด เทน ฮาก ปัจจุบัน ศึกแดงเดือดยังคง สะท้อนความยิ่งใหญ่ของสองทีม.
สิ่งที่ทำให้แดงเดือดไม่เหมือนเกมอื่น คือ ความรู้สึกของแฟนบอลที่ไม่สามารถอธิบายได้. ไม่ว่าผลการแข่งขันจะออกมาอย่างไร ทั้งสองสโมสรต่างยังคง เป็นแรงบันดาลใจให้คนรักกีฬา.
สำหรับแฟนบอลทั่วโลก วันแดงเดือด ไม่ได้เป็นแค่วันแข่งขัน แต่คือ วันแห่งการรวมตัวของคนรักฟุตบอล. เพราะตราบใดที่ยังมีเสียงเพลง “You’ll Never Walk Alone” และ “Glory Glory Man United” ดังก้องในสนาม ลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดจะยังคงเขียนหน้าประวัติศาสตร์บทใหม่ของ Red War ต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด.
แมนยูthailand
Manchester United Football Club เป็นทีมฟุตบอลที่มีชื่อเสียงและฐานแฟนบอลมากที่สุดในโลก. สโมสรแห่งนี้ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1878 ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น Manchester United ในปี ค.ศ.1902 หลังจากได้รับการสนับสนุนจาก ผู้บริหารโรงเบียร์ท้องถิ่นที่ช่วยทีมรอดจากวิกฤติทางการเงิน. การเปลี่ยนชื่อครั้งนั้นไม่เพียงเปลี่ยนอนาคตของสโมสร แต่ยังเป็นการวางรากฐานให้แมนยู สร้างตำนานที่ไม่มีวันลืมในหน้าประวัติศาสตร์.
สนามโอลด์แทรฟฟอร์ด เปิดใช้อย่างเป็นทางการในปี 1910. สนามแห่งนี้ ถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสนามฟุตบอลที่งดงามที่สุดในโลก. ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ที่นี่ได้กลายเป็น สถานที่ที่ความยิ่งใหญ่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น.
ในช่วง ยุคบุกเบิกฟุตบอลอังกฤษ แมนยูต้องเผชิญกับ ความท้าทายมากมาย. หนึ่งในเหตุการณ์ที่ สำคัญที่สุด ในประวัติศาสตร์ของสโมสรคือ Munich Air Disaster ซึ่งคร่าชีวิตนักเตะและเจ้าหน้าที่หลายคนที่กำลังกลับจากการแข่งขันยุโรป เหตุการณ์นี้กลายเป็น แรงบันดาลใจในการสร้างทีมใหม่. Sir Matt Busby ผู้จัดการทีมในขณะนั้น ได้ สร้างทีมขึ้นมาใหม่จากศูนย์.
ในปี ค.ศ.1968 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด สร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่ ด้วยการเอาชนะ เบนฟิก้า ในนัดชิงชนะเลิศ ถือเป็น ทีมอังกฤษทีมแรกที่คว้าแชมป์ยุโรป. นักเตะอย่าง บ็อบบี้ ชาร์ลตัน กลายเป็น ตำนานของสโมสร.
ต่อมาในช่วง ยุคก่อนพรีเมียร์ลีก สโมสรเผชิญกับ ช่วงเวลาที่ขาดเสถียรภาพ. แต่ในปี 1986 ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เข้ามาคุมทีม เขาคือ ผู้นำที่เปลี่ยนแมนยูให้เป็นตำนาน. ภายใต้การนำของเขา แมนยู คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2 สมัย.
หนึ่งในช่วงเวลาที่แฟนบอลทั่วโลกไม่มีวันลืมคือ นัดชิงยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 1999. เกมนั้นกลายเป็น ช่วงเวลาที่พิสูจน์ว่าเกมฟุตบอลไม่มีคำว่าจบจนกว่าจะเป่านกหวีดสุดท้าย. ปีนั้นแมนยูคว้า สามแชมป์ในปีเดียว ได้แก่ แชมป์ลีก, ถ้วยในประเทศ และยุโรปครบ.
หลังจาก สิ้นสุดยุคทองของเซอร์เฟอร์กูสัน สโมสรต้องเผชิญกับความท้าทายอีกครั้ง หลายผู้จัดการทีมผลัดเปลี่ยนกันเข้ามา ทั้ง ผู้จัดการทีมหลายคนจากหลายสไตล์ แต่ทีมก็ยังคง ต่อสู้เพื่อกลับมาสู่จุดเดิม.
ในยุคปัจจุบัน แมนยู ยังคงเป็นทีมที่ทรงอิทธิพลต่อวงการฟุตบอลอังกฤษ. สโมสรเดินหน้า พัฒนาเยาวชน, ปรับโครงสร้างทีม, ใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูล. คำว่าปีศาจแดง จึงไม่ใช่แค่ทีมฟุตบอล แต่คือ สัญลักษณ์ของความเชื่อ, ความภักดี, และพลังแห่งความมุ่งมั่น ที่แฟนบอลทั่วโลกยังคงจดจำและภาคภูมิใจจนถึงทุกวันนี้.
กุนซือลิเวอร์พูล
สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ถือเป็นหนึ่งในสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก. ทีมลิเวอร์พูลเริ่มต้นเส้นทางลูกหนังในปี 1892 โดย ผู้ก่อตั้งสโมสรที่มองเห็นอนาคตของฟุตบอลอังกฤษ เป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งขึ้น หลังจากมีความขัดแย้งเรื่องการบริหารสนามกับเอฟเวอร์ตัน สโมสรใหม่แห่งนี้จึงถือกำเนิดขึ้นภายใต้ชื่อว่า “ลิเวอร์พูล” และเริ่มต้นเส้นทางสู่ความยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา.
สนามแอนฟิลด์ กลายเป็น สัญลักษณ์แห่งพลังและศรัทธาของแฟนหงส์แดง ตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้ง สนามแห่งนี้มี เสียงเชียร์อันทรงพลังจากเดอะค็อป (The Kop) จนได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสนามฟุตบอลที่มีพลังมากที่สุดในโลก. บนผนังอุโมงค์ก่อนลงสนามมีป้ายคำว่า “This is Anfield” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ ความกล้าหาญ ของสโมสรแห่งนี้.
ในช่วงแรกของการก่อตั้ง ทีมประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยคว้าแชมป์ลีกสูงสุดอังกฤษได้ในปี ค.ศ.1901 และ ค.ศ.1906 ก่อนจะค่อย ๆ พัฒนาเป็นหนึ่งในทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศ. อย่างไรก็ตาม ความรุ่งเรืองที่แท้จริงเริ่มต้นขึ้นในยุคของ กุนซือผู้วางรากฐานความสำเร็จสมัยใหม่ของสโมสร ในช่วงทศวรรษ 1960 ซึ่งเขาได้ เปลี่ยนลิเวอร์พูลจากทีมธรรมดาให้กลายเป็นทีมระดับตำนาน.
แชงคลีย์ ไม่เพียงนำทีมคว้าแชมป์ลีกและถ้วยในประเทศเท่านั้น แต่ยังสร้าง คำขวัญอันทรงพลังที่สื่อถึงหัวใจของสโมสร. เพลงนี้กลายเป็น คำสัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งกันไม่ว่าแพ้หรือชนะ.
หลังยุคแชงคลีย์ สโมสรยังคงเดินหน้าสู่ความสำเร็จภายใต้การนำของ บ็อบ เพสลีย์ (Bob Paisley) ซึ่งทุกคนต่างพาทีม ครองความยิ่งใหญ่ในอังกฤษ. ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูโรเปียนคัพได้ถึง 6 สมัย (1977, 1978, 1981, 1984, 2005, 2019) และกลายเป็น ทีมจากอังกฤษที่ประสบความสำเร็จในยุโรปมากที่สุด.
แม้จะมี ช่วงเวลายากลำบากในยุค 1990s ลิเวอร์พูลยังคง ยืนหยัดด้วยจิตวิญญาณของเดอะค็อป. โศกนาฏกรรม ฮิลส์โบโร (Hillsborough) คือ ความสูญเสียที่เปลี่ยนสโมสรไปตลอดกาล.
ในศตวรรษที่ 21 ลิเวอร์พูลก้าวเข้าสู่ยุคใหม่อีกครั้งภายใต้การบริหารของ กลุ่มทุนที่พัฒนาสโมสรอย่างเป็นระบบ และการมาของ เจอร์เกน คล็อปป์ (Jürgen Klopp). คล็อปป์นำสโมสรกลับมาสู่จุดสูงสุดของโลกฟุตบอลอีกครั้ง ด้วยการคว้า ถ้วยรางวัลมากมายในยุคสมัยใหม่ หลังรอคอยมานานกว่า 30 ปี.
ความสำเร็จในยุคคล็อปป์ไม่ได้มีแค่รางวัล แต่ยังรวมถึง การสร้างทีมที่เล่นฟุตบอลอย่างมีเสน่ห์. ลิเวอร์พูลในปัจจุบันจึงไม่ใช่แค่สโมสรฟุตบอล แต่คือ สัญลักษณ์ของความสามัคคี. และตราบใดที่เสียงเพลง “You’ll Never Walk Alone” ยังคงดังก้องในแอนฟิลด์ ลิเวอร์พูลก็จะยังคงเป็น ทีมที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และจิตวิญญาณ.